เคยสงสัยไหมว่า ทำไมรักษาหลุมสิวมากี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ?
หมออยากเริ่มด้วยการอธิบายสั้นๆ เพราะหลุมสิวมีหลายรูปแบบ และคนเป็นหลุมสิว มักเกิดหลุมสิวหลายแบบปะปนอยู่บนใบหน้าเรา ซึ่งการใช้วิธีรักษาแบบเดียวกันทั้งหน้า จึงไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง
นี่คือเหตุผลที่ โปรแกรม Real Scar Synergy ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อวิเคราะห์หลุมสิวแต่ละหลุมบนใบหน้า และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด นำหลายวิธีการรักษามาทำงานร่วมกันอย่าง “เสริมพลัง” ผลลัพธ์จึงไม่ได้แค่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นการปรับผิวโดยรวมให้เรียบเนียน ดูเป็นธรรมชาติ และเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากขึ้น
หลุมสิวมีหลายชนิด เช่น Ice pick, Boxcar, Rolling ในคน ๆ เดียวมักมีหลายชนิดปะปน แต่ละชนิดตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน การใช้วิธีเดียวทั้งหน้า จึงไม่อาจแก้ปัญหาได้ครบถ้วน
โปรแกรมรักษาหลุมสิวที่พัฒนาขึ้นโดย Dr.Ramita ซึ่งจะทำการรักษาโดย เน้นหัตถการแพทย์เป็นหลัก (Non-Energy Based Acne Scar Revision) ด้วยเทคนิคเฉพาะของ Dr.Ramita ที่ ผสมผสานหลากหลายวิธีการรักษา ที่เป็นมาตรฐานสากล มีงานวิจัยรองรับ เข้าไว้ในโปรแกรมเดียว อาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับโครงสร้างผิวและกระบวนการกระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากการรักษาแบบเดิมที่อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอนหรือใช้เวลานานกว่า
การรักษาหลุมสิวที่ Real Clinic จะไม่ใช้แนวทางแบบ one size fits all แต่จะวิเคราะห์ลักษณะของหลุมสิวในแต่ละหลุม และเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับหลุมแต่ละประเภท เพราะหลุมสิวแต่ละประเภทมีโครงสร้างและตอบสนองกับการรักษาที่ต่างกัน
การใช้หลายเทคนิคร่วมกัน คือหัวใจของ Real Scar Synergy เพราะไม่มีเครื่องมือหรือวิธีใดเพียงอย่างเดียวที่แก้ปัญหาหลุมสิวได้ครบถ้วน การรักษาจึงประกอบด้วยหัตถการหลายรูปแบบ ปรับให้เหมาะกับชนิดหลุมและสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
RSS จัดอยู่ในกลุ่ม Non-Energy Based Acne Scar Revision แต่ แตกต่างจากการหัตถการทั่วไป ด้วยการใช้วิธีการรักษาหลุมสิว โดยผสานหลายเทคนิคทางการแพทย์ และการวิเคราะห์เชิงลึก ในการรักษาแก้ไข ปัญหาหลุมสิวในแต่ละคน ซึ่งสามารถเห็นผล การเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ครั้งแรก และให้ผลลัพธ์ยาวนาน โดยไม่จำเป็นต้องหยุดงานหรือพักหน้านาน
เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าการรักษาหลุมสิวด้วยเทคนิคต่าง ๆ มีหลักฐานรองรับอย่างแท้จริง เรารวบรวมงานวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับหัตถการและการฟื้นฟูผิว ดังนี้:
*เอกสารข้างต้นเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติม โดยคุณหมอรมิตาจะอัปเดตแหล่งอ้างอิงและงานวิจัยใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้ล่าสุดในปี 2026 และต่อไป
Q&A เกี่ยวกับ Real Scar Synergy (RSS)
สรุปRSS = Non-Energy เป็นหลัก (หัตถการฝีมือแพทย์) วิเคราะห์หลุมทีละตำแหน่ง ผสานหลายเทคนิคเฉพาะจุด ส่วนเลเซอร์ใช้เก็บรายละเอียดเท่าที่จำเป็น
การรักษาแบบ RSS ต้องอาศัยความละเอียดและทักษะแพทย์สูง โดยเฉพาะเคสที่มีพังผืดดึงรั้งลึก ซึ่งเลเซอร์เพียงอย่างเดียวมักแก้ไม่ได้ ต้องปลดพังผืดและจัดโครงสร้างร่วมด้วย
มุมมองการผ่าตัด = เปลี่ยนหลุมจิกลึกให้เป็นเส้นแผล ต้องดูแลแผลเคร่งครัด และมักต้องเลเซอร์ซ้ำเพื่อลบรอยใหม่
RSS เน้นแก้โครงสร้างทีละขั้น ปลดพังผืดปรับขอบฟื้นฟูผิว ลดความจำเป็นในการผ่าตัดใหญ่และลด downtime
สำคัญขึ้นอยู่กับดุลยพินิจแพทย์และสภาพผิวจริง
ทุกเคสมีการฉีด CO เพื่อปลดพังผืด + ฉีดสารฟื้นฟู เช่น HA micro, Polynucleotides, Peptides ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ เช่น Subcision, TCA CROSS, Microneedling ตามความเหมาะสม
ผลลัพธ์ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของหลุมสิว ไม่มีวิธีใดทำให้เรียบ 100% ได้
เริ่มต้นที่ 39,900 บาท/คอร์ส (2 ครั้ง) ราคาขึ้นกับความรุนแรง ความหนาแน่น และตัวยาที่ใช้
ปลอดภัยสูง อาจมีบวม/ช้ำ/แดงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ ไม่ต้องพักหน้า ไม่มีสะเก็ด ไม่ทำให้ผิวบาง
อุปกรณ์และตัวยาที่ใช้ใน RSS ผ่านการรับรอง อย. ไทย ครบถ้วน
ผลลัพธ์ถือว่า กึ่งถาวร เพราะมีการปลดพังผืดและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ แม้สารเติมเต็มสลายไป แต่โครงสร้างคอลลาเจนยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม ผิวยังเสื่อมตามวัย ควรดูแลต่อเนื่องเพื่อรักษาผลลัพธ์ให้นานที่สุด
1.กลุ่ม Resurfacing เรียกง่ายๆก็คือการกรอผิวให้เนียนขึ้นนั่นเองในกลุ่มนี้ก็ได้แก่
Dermabrasion/Microdermabrasion คือการใช้เครื่องมือกรอผิวหนังชั้นบนให้เรียบเนียนเสมอกันมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือที่มี Aluminum oxide หรือแกล็ดอัญมณี มากรอผิวชั้นบนและขัดออก เพื่อให้เกิดกระวนการ reepithelialisation
Chemical peeling คือการใช้สารเคมีมาผลัดผิวเก่าด้านบนออกไป และช่วยกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาแทน เช่น การใช้กรด Glycolic Acid, Jessners Solution, Pyruvic acid, Salicylic acid, TCA peeling, TCA CROSS(Chemical reconstruction of skin scar method) ในความเข้มข้นที่สูงกว่าที่ผสมในครีมเครื่องสำอางทั่วไปมาจี้ตามจุดหลุมสิวหรือทาให้ทั่วใบหน้าโดยต้องทำหลายครั้งและสม่ำเสมอ
Laser resurfacing ก็คือการใช้เลเซอร์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า Fractional Laser หรือที่เราเห็นหลังทำแล้วผิวหน้าเป็นสะเก็ดตารางๆ นั่นเอง ซึ่งในท้องตลาดก็มีชื่อเรียกต่าง ๆกันไป ขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดพลังงาน เช่น ถ้าเป็นคลื่นวิทยุ (RF, Radiofrequency) ก็เช่นเครื่อง E-matrix, Venus Viva, Fractora, Infini, Geneus, Vivance กลุ่มนี้มีผลพลอยได้เรื่องยกกระชับผิวได้ด้วย หรือถ้าเป็น erbium lasers ถ้าเป็นกลุ่ม Photothermolysis ก็เช่น Fraxel เป็นต้น โดยเลเซอร์ที่ให้ผลลัพธ์การรักษาหลุมสิวดีขึ้นมากที่สุดในกลุ่ม กลับเป็นชนิด Ablative laser คือเป็นเลเซอร์ลอกผิวที่มีความรุนแรงต่อผิวมาก เช่น Ablative Fractional CO2 10600 nm, Fractional 2940 nm Erbium:YAG แม้จะได้ผลที่ดีขึ้นมากถึง 50-80% แต่ต้องแลกมาด้วยผลข้างเคียงเป็นรอยแดงรอยดำที่หน้า(ซึ่งอาจทิ้งรอยดำนานเป็นเดือนๆ หรือเกิดฝ้าขึ้นมาแทน) และมักพบอาการบวม แดง รอยแผลถลอกหลังทำ ที่ต้องพักฟื้นหน้านาน รวมถึงการสมานผิวที่ต้องใช้เวลานานกว่ามาก จึงไม่ได้รับความนิยม และไม่เหมาะกับผิวคนเอเชีย
และอีกเทคโนโลยีเลเซอร์ใหม่ล่าสุด Picosecond laser ที่ปล่อยพลังงานในช่วงที่สั้นและสูงมาก จึงทำลายเม็ดสีได้ดีมาก และมีการพัฒนาเลนส์พิเศษหัว Fractional ที่ทำให้เกิด LIOB(Laser-induceed optical breakdown) คือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ และกรอผิวด้านบนให้เรียบเนียน ซึ่งข้อดีของเทคโลโลยีนี้คือ ไม่ค่อยทิ้งรอยดำ PIH แต่อย่างไรก็ตาม หลังทำเลเซอร์ทุกชนิดต้องคอยหลบแดดเช่นกัน
การรักษาเหล่านี้มีหลักการเดียวกันคือทำให้เกิดบาดแผลขึ้นที่ผิวหนังแล้วหวังผลให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเองสร้างคอลลาเจนเนื้อเยื่อใหม่ได้ผิวที่เรียบเนียนขึ้น ในคนไข้บางรายที่ทำเลเซอร์จนครบคอร์สหลายครั้ง แต่ยังรู้สึกไม่เห็นผล อาจเกิดจากมีพังผืดยึดเกาะใต้ผิวมาก หรือบางครั้งเมื่ออายุผิวมากขึ้น คุณภาพผิวเราไม่ดีแล้ว การสร้างใหม่จึงไม่ดีด้วย ทำให้ผิวบางลง ยิ่งทำเลเซอร์บ่อย โดยไม่ได้ทำการฟื้นบำรุงผิวร่วมด้วย ผิวยิ่งบาง หน้ายิ่งแดงง่าย เห็นเส้นเลือดฝอยเล็กๆใต้ผิว แสบหน้า ผิวแพ้ง่าย และผิวหน้าดำคล้ำลงได้ง่าย แม้เวลาถูกแดดเพียงเล็กน้อยก็ตาม
โปรแกรม เลเซอร์เกลี่ยของหลุมสิวของ Real Clinic คลิกดูรายละเอียด
Fibrous Scar Surgery และ Subcision คือใช้เข็มคมขนาดใหญ่ หรือ เข็มชนิดพิเศษที่มีปลายมีด มาตัดเลาะพังผืดใต้ผิว เป็นวิธีพื้นฐานที่มักทำควบคู่กับวิธีอื่น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด วิธีนี้อาจมีรอยเขียวช้ำ ห้อเลือดตามมาได้ และหากทำโดยเทคนิคที่ไม่ถูกต้องแล้วอาจทำให้เกิดพังผืดใหม่ที่มากขึ้นได้เช่นกัน ปัจจุบันจึงได้มีการศึกษาเทคนิคการตัดพังผืดด้วยเครื่องมืออื่นๆ เช่น เข็มปลายทู่ชนิดพิเศษ, การใช้ก๊าซCO2, การใช้พลังงานลม Air Dissector, คลื่นวิทยุRF มาประยุกต์ใช้ในการทำ Subcision แทนการใช้เข็มคมแบบดั้งเดิม เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เข็มคมหรือปลายมีด มีการศึกษาวิจัย พบว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้เช่นกัน
Punch Technique ได้แก่ Punch excision, Punch elevation, Punch grafting เป็นการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อตรงที่เป็นหลุมสิวออกไป แล้วเย็บปิดแผล หรือใช้เนื้อผิวบริเวณอื่นมาปลูกถ่ายลงบริเวณที่โดนตัดออก เป็นการเปลี่ยนชนิดแผลเป็นจากแบบหลุมเป็นแบบเส้น แล้วใช้ Laser resurfacing ช่วยลดรอยแผลใหม่อีกที วิธีนี้ดูเหมือนเป็นการรักษาที่ตัดต้นตอของหลุมสิวออกไปได้มากที่สุด แต่มีข้อจำกัดในด้านการดูแลรักษา การหายของแผล การติด/สมานแผลของผิวที่นำมาปลูกถ่าย และเสี่ยงเกิดรอยแผลเป็นชนิดใหม่ตามมาได้เช่นกัน จึงไม่ใช่วิธีแรกที่ถูกพิจารณาในการเลือกรักษา
3.กลุ่มเครื่องมือที่ใช้เข็ม (Skin needling)
เช่น Dermaroller, Dermapen, Derma stamp, Dermafix, เลเซอร์ Microneedle กลุ่มนี้ใช้หลักการทำให้ผิวเกิดการบาดเจ็บด้วยเข็มขนาดเล็ก เพื่อให้ร่างกายเกิดกระบวนการรักษาบาดแผลขึ้นมา จึงมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาซ่อมแซมผิวด้วย ในกลุ่มนี้ต้องระวังการทำลูกกลิ้ง Dermaroller ที่ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าไม่ได้ช่วยให้หลุมสิวดีขึ้น แต่ยังทำให้เกิดบาดแผลที่ผิวชั้นบนมากยิ่งขึ้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มาก
ประโยชน์ของ Microneedling?
กลุ่มเครื่องมือที่ใช้เข็มขนาดเล็ก microneedling สามารถช่วยแก้ไขหลุมสิวได้ในระดับตื้นถึงปานกลางเท่านั้น ข้อดีคือสามารถช่วยผลัดผิวชั้นบน ใช้ร่วมกับการผลักดันตัวยาหรือ ได้ดี และไม่ค่อยมีผลข้างเคียงเรื่องรอยดำหลังทำเลเซอร์ ไม่ต้องพักฟื้นผิวหน้าหลังทำ แต่อย่างไรก็ตามหากเทียบประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน(เทียบเฉพาะเครื่องมือ ไม่รวมตัวยาที่ใช้) การทำ Fractional Laser ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
การฉีดไขมันเติมเต็ม (Autologous Fat Transfer) มีข้อดีตรงที่เป็นไขมันของคนไข้เอง ไม่เกิดปฏิกิริยาการแพ้ แต่ข้อเสียคือไม่สามารถคาดการณ์อัตราการติดของไขมันได้ หรือหากเติมมากเกินไปอาจกลายเป็นก้อนนูนไม่เรียบแทน จึงไม่เป็นที่นิยมในการใช้รักษาหลุมสิว
การใช้สารเติมเต็มหลุมสิว (Acne Scar Dermal Filler) วิธีนี้ได้รับความนิยมมากในระดับสากล เนื่องจากเห็นผลไว downtimeน้อย มักใช้เป็นcombinationร่วมกับวิธีอื่น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน และให้ผลที่ยาวนาน ในปัจจุบันมีการพัฒนานวัตกรรมสารเติมเต็มขึ้นมาหลายชนิด ไม่เพียงเพื่อเติมเต็มเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีมากอีกด้วย โดยในส่วนของการแก้ปัญหาหลุมสิวนี้ จะต้องอาศัยสารที่มีคุณสมบัติเป็น Collagen Stimulating Filler เป็นหลัก ฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ PLLA (เช่น Sculptra ผ่าน อย.ไทยแล้ว) , Calcium hydroxyapatite (เช่น Radiesse), PMMA, Low molecular weight and High molecular weight HA, PCL แต่สารเติมเต็มหลายตัวในกลุ่มนี้ยังไม่ผ่านการรับรองจาก อย.ของไทย
สารเติมเต็ม ที่มีใช้อย่างแพร่หลายและได้รับการรับรองจาก อย.ของไทย คือ ชนิด Hyaluronic acid หรือ HA Filler กลุ่มนี้มีคุณสมบัติหลักๆในการเพิ่ม Volume และบางรุ่นที่เป็น Skin booster ก็สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เช่นกัน จากกลไกของ Fibroblast stretching ซึ่งวิธีการคือใช้ HA Filler มาฉีดเติมเข้าไปที่ก้นหลุมให้เนื้อผิวฟูเต็มขึ้นมาโดยตรง ด้วยเทคนิคการฉีดแบบต่างๆ วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวชนิด rolling scar ที่มีปากแผลกว้าง ขอบสโลปและก้นแผลตื้น โดยต้องมีการตัดเซาะพังผืดใต้แผลร่วมด้วย จึงจะได้ผลดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ฉีดเป็นหลัก หลังเติมจะเห็นผลชัดเจนทันที
และอีกเทคนิคหนึ่งของการใช้ฟิลเลอร์มาช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นทางอ้อม ด้วยเทคนิค Filler Lifting and Volumizing คือการใช้ฟิลเลอร์มายกกระชับและเติมเต็มบริเวณผิวข้างเคียงหลุมสิว ทำให้หลุมสิวถูกตรึงให้ตื้นขึ้น เทคนิคนี้นอกจากช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นแล้วยังช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูอ่อนวัยสดใสขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์หลุมสิวจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเลยทันทีกว่า 50% อยู่ได้นานประมาณ 1 ปีในกรณีของ HA Filler และ 2-5 ปีขึ้นไปในกรณีของกลุ่ม PLLA และ PMMA โดยในระหว่างที่ฟิลเลอร์ยังคงอยู่ใต้ผิวเราจะช่วยบำรุงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีลาสตินใหม่ที่แข็งแรงขึ้น แม้ว่าเวลาผ่านไปแล้วฟิลเลอร์จะสลายหมด ผิวตรงหลุมสิวก็จะยังคงดีกว่าตอนก่อนฉีดค่ะ